กองบิน5
แรกบินในสยาม
ความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องบินของพี่น้องตระกูลไรท์ ทำให้ความฝันเรื่องการบินของมนุษย์เป็นจริงขึ้นมา และได้รับความสนใจในฝั่งตะวันตกอย่างรวดเร็ว ในรัชสมัย
ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้า เจ้าอยู่หัว นายชาร์ล แวนเดน บอร์น (Charles Van Den Born) นักบินชาวเบลเยี่ยม ได้นำเอาเครื่องบินแบบ อังรี ฟาร์มัง 4(Henry Farman IV) มาแสดงที่สนามม้าสระประทุม ระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2453 (ค.ศ.1911 *การเปลี่ยนคริสต์ศักราชเป็นพุทธศักราชก่อน พ.ศ.2484 ถือเอาเดือนเมษายน เป็นเดือนแรกในการเริ่มต้นเปลี่ยน ดังนั้นวันที่ 31 มกราคม -6 กุมภาพันธ์ จึงยังอยู่ในปี พ.ศ.2453)
และเนื่องจากได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จึงทำการแสดงการบินเพิ่มเติมในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2453 อีกหนึ่งวัน นับเป็นการแสดงการบินครั้งแรกของเมืองไทย ในปีเดียวกันนั้นเอง จอมพลพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหมได้เสด็จไปยังยุโรป และทรงทราบถึงเรื่องการปรับปรุงการบินในฝรั่งเศส เมื่อเสด็จกลับพระนครจึงทรงมีรับสั่งกับนายพลเอก พระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ เสนาธิการทหารบก ถึงความจำเป็นในการมีกองกำลังเครื่องบิน ไว้ป้องกันประเทศ ดังนั้นกระทรวงกลาโหมจึงได้มีดำริ จัดตั้งหน่วยบินขึ้น โดยให้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพบก
วันที่ 2 พฤษจิกายน พ.ศ.2456 นายทหารไทยชุดแรกที่ไปทำการศึกษาวิชาการบิน ที่ประเทศฝรั่งเศสได้เดินทางกลับถึงเมืองไทย ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน กระทรงกลาโหมจึงได้จัดตั้งแผนกการบินทหารบกขึ้นที่สนามม้าสระประทุม มีเครื่องบินบรรจุครั้งแรก 8 เครื่อง ประกอบด้วยแบบเบรเกต์(Breguet) 4 เครื่อง และแบบนิเออปอรต์ (Nieuport) 4 เครื่อง หลังจากนั้นแผนกการบินทหารบก ได้ยกฐานะขึ้นเป็น กองบินทหารบก กรมอากาศยานทหารบก กรมอากาศยาน กรมทหารอากาศ และกองทัพอากาศ ตามลำดับ โดยเมื่อคราวที่ยกฐานะขึ้นเป็นกรมอากาศยานนั้น ได้มีการจัดตั้งส่วนราชการใหม่ แบ่งออกเป็น 5 กองคือ
กองโรงเรียนการบินเบื้องต้น
กองโรงงานกรมอากาศยาน
กองบินใหญ่ที่ 1 ประจวบคีรีขันธ์
กองบินใหญ่ที่ 2 ดอนเมือง
กองบินใหญ่ที่ 3 นครราชสีมา
จากกองบินใหญ่ที่ 1 ถึงกองบิน 5 บนเนื้อที่ราว 4,000 ไร่ ตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่เป็นแหลมยื่นออกไปในทะเลด้านตะวันออก อาณาเขตทิศเหนือ เป็นอ่าวประจวบ ด้านทิศใต้เป็นอ่าวมะนาว และด้านตะวันตกเป็นตัวเมืองประจวบฯ "กองบินใหญ่ที่ 1" ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2465 โดยผู้บุกเบิก 2 ท่านคือ ร.อ.หลวงอมรศักดาวุธ และ ร.อ.กาพย์ ทัตตานนท์
กองบินใหญ่ที่ 1 มีวิวัฒนาการโดยลำดับ ดังนี้
พ.ศ. 2468 เป็น โรงเรียนการยิงปืน
พ.ศ. 2469 เป็น โรงเรียนการบินที่ 2
พ.ศ. 2479 เป็น กองบินน้อยที่ 5
พ.ศ. 2506 เป็น กองบิน 5
พ.ศ. 2520 เป็น กองบิน 53
พ.ศ. 2535 เป็น กองบิน 53 กองพลบินที่ 4
พ.ศ. 2539 เป็น กองบิน 53 กองพลบินที่ 4 กองบัญชาการยุทธทางอากาศ
พ.ศ. 2550 เป็น กองบิน 5 กองพลบินที่ 4 กองบัญชาการยุทธทางอากาศ
พ.ศ. 2552 เป็น กองบิน 5
ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์อุทยานประวัติศาสตร์ กองบิน 5 และ อาคารประวัติสงคราม ได้แสดงนิทรรศการ เกี่ยวกับวีรกรรม วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 prachuaptown.com จะขอลำดับเรื่องราวตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนะครับ อาจจะยาวสักหน่อยแต่ น่าศึกษามากครับ
การเจรจาขอผ่านแดน
ราว 23 นาฬิกา ของวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2484 นายซูโบกามิ เอกอัคราชทูตญี่ปุ่นและคณะได้เดินทาง
ไปพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล แจ้งความประสงค์ว่า ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงความเป็นหรือความตายกับ
อังกฤษและสหรัฐอเมริกา มีความตั้งใจที่จะโจมตีดินแดนของประเทศดังกล่าวในเวลา 1 นาฬิกาของวันที่ 8 ธันวาคม
ต้องอาศัยดินแดนไทยเป็นทางผ่าน ผู้แทนไทยจึงได้แจ้งถึงภาวะที่ประกาศตนเป็นกลางของประเทศ และผู้ที่จะสั่งการ
ให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งก็คือท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งไม่อยู่ ณ เวลานั้น
โดยไม่รีรอต่อท่าทีขอรัฐบาลไทย กองกำลังญี่ปุ่นที่เตรียมการไว้อย่างพร้อมเพรียง ได้ตัดสินใจยกพลขึ้นบกที่ จังหวัดริมชายฝั่งทะเลไทย ในคืนวันที่ 7 และรุ่งสางของวันที่ 8 ธันวาคม และในบ่ายเดียวกันนั้นตามเวลาของไทย หรือรุ่งเช้าตามเวลาท้องถิ่นกองกำลังโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ของจักรวรรดิญี่ปุ่นบุกเข้าโจมตีเพิร์ล ฮาเบอร์ของอเมริกา รัฐบาลอเมริกาและอังกฤษจึงประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในเช้าวันถัดมา
7 นาฬิกาของวันที่ 8 ธันวาคม จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้เดินทางถึงยังที่ประชุมและรับฟังรายงานเหตุการณ์จากทุกฝ่าย นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เสนอให้พิจารณาทางได้ทางเสีย จึงได้ข้อสรุปว่าเราคงไม่มีทางต่อสู้แต่อย่างใด นายกรัฐมนตรีจังประกาศว่า ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้าน หลังจากหารือรัฐบาลไทยจึงได้ลงนาม ในสัญญายินยอมให้ญี่ปุ่นผ่านแดน โดยตกลงรับเงื่อนไขที่กองทัพญี่ปุ่นเสนอ หนึ่งในสามข้อคือ ยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทยไปเท่านั้น
รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีนโยบายวางตัวเป็นกลาง ท่ามกลางไฟสงครามซึ่งแบ่งโลกออกเป็น 2 ฝ่าย
วีรกรรมวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484
สงครามมหาเอเชียบูรพาก็อุบัติขึ้น ประเทศไทยคือ
หนึ่งในที่หมายของการยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่น เพื่อไปโจมตีทหารอังกฤษในพม่าและมลายู
เข้าตรู่ของวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ณ กองบินน้อยที่ 5 จ.ประจวบคีรีขันธ์ เรืออากาศตรี ศรีศักดิ์ สุจริตธรรม พร้อมทหารจำนวนหนึ่งออกไปหาปลาหน้าอ่าวมะนาว ได้พบเรือยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นจำนวน 3 ลำมุ่งหน้าเข้ามาเพื่อยึดกองบินน้อยที่5 ทหารไทยจำนวนเพียง 100 คนเศษ ตัดสินใจต่อกรกับทหารลูกพระอาทิตย์ซึ่งยังประมาณจำนวนมิได้
ในเวลาเดียวกันภายในเมืองประจวบคีรีขันธ์ ทหารญี่ปุ่นยกพลขั้นที่อ่าวประจวบญี่ปุ่นส่งกองกำลังเข้ายึดพื้นที่ 3 ทาง คือ ศาลากลางจังหวัด รวมถึงสถานีตำรวจและสถานีรถไฟ แล้วกระจายกำลังไปทั่ว เสียงปืนดังกึกก้อง ทางด้านกองบินน้อยที่ 5 กำลังพลของทหารญี่ปุ่นได้เคลื่อนตัวเข้าทางด้านอ่าวประจวบ และทางด้านอ่าวมะนาว ยึดพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เกิดการตะลุมบอนต่อสู้กันด้วยดาบปลายปืน ทหารญี่ปุ่นหมายจะยึดกองบินน้อยที่ 5 เป็นที่มั่น กำลังรบทางภาคพื้นอากาศของฝูงกองบินน้อยที่ 5 ได้รับคำสั่งให้นำเครื่องบินขึ้นต่อต้านการบุกรุกของญี่ปุ่น และสนับสนุนกำลังรบภาคพื้นดิน
บ่ายวันที่ 8 นั้นเอง น.ต.ม.ล. ประวาศ ชุมสาย ผู้บังคับการกองบินน้อยที่ 5 ก็ได้มีคำสั่งให้เผาคลังน้ำมัน และหมวดเสนารักษ์ เพื่อป้องกันมิให้ญี่ปุ่นยึดเป็นที่มั่นได้ภายหลัง เสียงปืนยังคงดังต่อเนื่องมาจนกระทั่งการสู้รบยุติลงเมื่อได้รับข้อความจากรัฐบาลให้ยุติการรบและยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนพลผ่านดินแดนไป ในเวลาราวเที่ยงวันของวันที่ 9 ธันวาคม
บริเวณที่ฝังร่างของวีรชน
เมื่อสำรวจความเสียหายหลังการสู้รบ พบว่าฝ่ายไทยมีทหารอากาศเสียชีวิต 38 นาย ตำรวจ 1 นาย ยุวชนทหาร 1 นาย และครอบครัวทหาร 2 คน ดังนี้
พ.อ.อ.ผิว เทียนถม |
พ.อ.อ.พงษ์ คงกลิ่น |
พ.อ.อ.พูล แก้วกรกฏ | ร.ท.จำเนียร วารียะกุล |
พ.อ.อ.ประสิทธิ์ สุขประไพ | พ.อ.อ.มณี นาคพวง |
ร.ต.มณฑล บุษยกนิตฐ์ | พ.อ.อ.เอื้อน คีรีศรี |
ร.ต.สถาน วัฒนกุล | พ.อ.อ.ย้อย ชูชื่น |
ร.ท.สถิต โลหิตโยธิน | ร.ท.หาญ เจริญสัตย์ |
ร.ต.บุญเชิด จรรยาพงษ์ | พ.อ.อ.สมบุญ แซ่ซึ้ง |
พ.อ.อ.ครอง เกตุทอง | ร.ต.ก่อเกื้อ ยอดมิ่ง |
ร.ท.พรม ชูวงษ์ | ร.ท.ตาบ สมจิตร์ |
พ.อ.อ.จอเชียว รบอาจ | พ.อ.อ.ไสว เกิดมั่ง |
พ.อ.อ.บุญยิ่ง ศิริเสถียร(ยุวชนทหาร) | พ.อ.อ.จรูญ จาบทอง |
ร.ต.นรชาติ ศิริโสภา | พ.อ.อ.พิว นาเมือง |
พ.อ.อ.สนิท นิลงาม | พ.อ.อ.ชู แก้วอ่วม |
พ.อ.อ.หย่อน ไกรสี | พ.อ.อ.สะอิ้ง ทองสุข |
พ.อ.อ.ไสว หยงเฮง | ร.ท.บุญมั่น สิโลปมา |
พ.อ.อ.ช่อ หนูสุวรรณ | พ.อ.อ.อิ้น เจริญจิตต์ |
ร.ท.ทบ แก้วมงกฏ | พ.อ.อ.เอื้อน เจริญยศ |
พ.อ.อ.เขย สาดสาร | พ.อ.อ.เซ้ง แซ่ห่อ |
ร.ท.นาค ปานยิ้ม | พ.อ.อ.ผล ห่วงมาก |
พ.อ.อ.กง อยู่คง |
ในขณะที่กองกำลังผู้รุกรานซึ่งมีความพร้อมและจำนวนมากกว่าเสียชีวิต 217 นาย บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมาอีกมากกว่า 100 นาย
จุดลงนามสงบศึกวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2484 หลังการสู้รบเป็นเวลา 33 ชั่วโมงยุติลงทหารทั้งสองฝ่ายยืนเรียงแถว เพื่อแลกเปลี่ยนดาบปลายปืนกับดาบซามูไร จากนั้นจึงลงนามในสัญญาสงบศึก ณ ที่แห่งนี้
ภายหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น รัฐบาลไทยได้ยินยอมให้ญี่ปุ่นใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการยกพลขึ้นบกไปยังประเทศพม่าและมลายู เพื่อทำการรบกับทหารอังกฤษ วีรกรรมในครั้งนี้ได้ประกาศเกียรติ์ให้เกริกไกรว่า คนไทยมีความสมัครสมานสามัคคีและรักชาติยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดเมื่อถึงคราวคับขันก็ปกป้องอธิปไตย โดยไม่คำนึงถึงแม้ชีวิตของตนเอง
ดังนั้นทุกๆวันที่ 8 ธันวาคมของทุกปี กองบิน 5 จึงได้มีการจัดพิธีระลึกถึงวีรกรรมปกป้องมาตุภูมิเมื่อปี พ.ศ.2484 เพื่อย้ำเตือนถึงความกล้าหาญของเหล่าวีรชน และความโหดร้ายของสงครามซึ่งหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกบนผืนดินไทย
หินแกะสลักด้านหนึ่งแสดง เหตุการณ์ ขณะสู้รบ หินแกะสลักอีกด้านแสดงเหตุการณ์ ลงนามในสัญญาสงบศึก